วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

นักวิจัยคิดค้น "ไบโอเซรามิก" กำจัดสารเคมี เตรียมจดสิทธิบัตร

นักวิจัย สกว.ลงพื้นที่บ้านท่าลาด อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู นำนวัตกรรมไบโอเซรามิกช่วยกำจัด”พาราควอต”และสารเคมีการเกษตรในน้ำประปา อยู่ระหว่างยื่นจดสิทธิบัตร
วันนี้ (21 ส.ค.2561) รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดผลงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีแก้วิจัยการพัฒนาไบโอเซรามิกกำจัดสารเคมีปราบศัตรูพืชที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม รวม 3 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอจดสิทธิบัตร ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในกระบวนการทั้งหมดได้

ผู้ว่าฯหนองบัวลำภู เบรกใช้สารเคมีเขตอุทยานภูเก้า-ภูพานคำ

ผู้ว่าฯหนองบัวลำภู สั่งเบรกใช้สารเคมีเขตอุทยานภูเก้า-ภูพานคำ พร้อมส่งเสริมแนวทางการเพาะปลูกพืชทางเลือกในทุกพื้นที่ 58 ตำบล
วันนี้ (21 ส.ค.2561) นายธนากร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อจัดการแก้ปัญหาสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งมี รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่นำเสนอผลงานวิจัยด้วยว่า มีงานเร่งด่วนหลายจุดโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงใน อ.โนนสัง อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำพอง ที่มีการปลูกอ้อยจำนวนมากและเป็นแหล่งที่ทำให้สารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำดิบที่ผลิตน้ำประปาอย่างเป็นรูปธรรม

ประชาคมน่านโอดใช้ยาฆ่าหญ้าแค่ 1.5% ผู้ว่าฯเรียกประชุมด่วนพรุ่งนี้


หลังจากรายการ “พลิกปมข่าว” เปิดเผยรายงานสารเคมีปนเปื้อน ในแม่น้ำน่าน เมื่อวันที่ 5-6 ก.ค.ที่ผ่านมา นั้น ความคืบหน้าเรื่องนี้ วันนี้ (11 ก.ค.) นพ.คณิต ตันติศิริวิทย์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่าน เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่า นักวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ตรวจพบสารยาฆ่าหญ้า อะทราซีนในน้ำใต้ดิน น้ำผิวดิน น้ำประปา จนมาถึงน้ำดื่มบรรจุขวดในจ.น่าน เกินค่ามาตรฐาน และยังพบว่า มีสารไกลโฟเสท ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 2 A ในเนื้อปลาสูง กว่าค่ามาตรฐาน 20-200 เท่านั้น รวมถึงพบสารพาราควอท คลอไฟริฟอส เกินมาตรฐานในผัก ปลา และในดิน ในน้ำอีกด้วย ประชาคมชาวน่านถือเป็นข่าวใหม่ที่น่าตกใจ
จากการประชุมของกลุ่มประชาคมมีความเห็นว่า แม้ว่ามหาวิทยาลัยนเรศวร สุ่มตรวจยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงที่จังหวัดน่าน แต่อย่าให้คนน่านตกเป็นจำเลย เพราะสารเคมีเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกใช้ในการทำไร่ข้าวโพด ซึ่งทำกันจำนวนมากครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ที่เป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ยากำจัดวัชพืชนำเข้าครึ่งปี 81 ล้านกิโลกรัม จังหวัดน่านใช้ 1.2 ล้านกิโล กรัมคิดเป็น 1.5 เปอร์เซนต์ เชื่อว่าถ้าตรวจจริงทุกพื้นที่ก็คงมีเช่นกัน ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่คนทั้งประเทศและผู้บริหารของประเทศต้องร่วมกันคิดว่า เรากำลังเอาทรัพยากรที่มีค่า ทั้งดิน น้ำ ป่า อากาศที่มีหมอกควัน ไปแลกกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อหวังผลระยะสั้นอย่างนั้นหรือ


ผลสำรวจสารเคมีปนเปื้อนผัก-ผลไม้พบ "พริกแดง-ส้มสายน้ำผึ้ง-ฝรั่ง" สารพิษตกค้างมากสุด





เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN เผยผลสำรวจสารเคมีปนเปื้อนจากการสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ พบว่าพริกแดง ส้มสายน้ำผึ้ง และฝรั่ง มีสารพิษตกค้างมากที่สุด
เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เปิดเผยผลสำรวจสารเคมีปนเปื้อนจากการสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ที่ประชาชนนิยมบริโภค พบว่า พริกแดง มีสารพิษตกค้างมากที่สุดร้อยละ 100 ส่วนผลไม้ พบว่า ส้มสายน้ำผึ้งและฝรั่ง มีสารพิษตกค้างมากที่สุดเท่ากันคือ ร้อยละ 100 ส่วนกะหล่ำปลีและแตงโมตรวจไม่พบว่ามีสารเคมีตกค้าง

ผู้ว่าฯน่าน เตรียมประกาศเขตภัยพิบัติสารเคมี ระบุเคยเสนอใช้ม.44 ห้ามใช้สารเคมีมาแล้ว


ผู้ว่าฯ น่าน ประชุมหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาสารเคมีการเกษตรปนเปื้อนแล้ววันนี้ พร้อมเชิญนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมเป็นคณะทำงานบริหารจัดการปัญหาการใช้สารเคมีในภาคเกษตรจังหวัดน่านด้วย
วันนี้ (12 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสรายงานว่า การประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหาสารเคมีการเกษตรปนเปื้อนที่จ.น่าน มีนายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายกมลโลจฒน์ เชียงวงศ์ รองผู้ว่าฯ น่าน เป็นประธาน โดยมีพล.ต.ชัยณรงค์ แกล้วกล้า ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 รวมถึงผู้แทนจากสาธารณสุขจังหวัดน่าน สำนักงานเกษตรจังหวัดน่าน สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 3 พิษณุโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรือถึงการแก้ปัญหาสารเคมีในภาคการเกษตรในพื้นที่จังหวัดน่าน

ประปาน่านระบุไม่มีเครื่องกรองสารเคมี ส่งตรวจประจำพบไม่เกินค่ามาตรฐาน




การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดน่าน ยืนยันส่งตัวอย่างน้ำดิบ และน้ำที่ผ่านกระบวนการผลิตประปา ตรวจวิเคราะห์สารเคมีปีละ 1 ครั้ง และยังไม่พบสารเคมีเกินค่ามาตรฐาน ระบุโรงผลิตประปาไม่ได้ออกแบบเพื่อรองรับการกรองสารเคมีล่าสุด วันนี้ (14 ก.ค.) ทีมข่าวไทยพีบีเอสลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ประปาสวนภูมิภาคจังหวัดน่าน พบว่าระบบโรงกรองน้ำในระบบผลิตน้ำประปา ไม่ได้ออกแบบรองรับการกรองความปลอดภัยทางสารเคมีเกษตร ยืนยันว่าได้มีการส่งตัวอย่างน้ำดิบ และน้ำที่ผ่านกระบวนการผลิตประปา ตรวจวิเคราะห์สารเคมีปีละ 1 ครั้ง และยังไม่พบว่าสารเคมีเกินค่ามาตรฐานกำหนด

"ผู้ประกอบการข้าวถุงไทย-หน่วยงานรัฐ" ยืนยันข้าวสารถุงไร้สารเคมีปนเปื้อน



สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยและหน่วยงานรัฐ ยืนยันการปนเปื้อนสารเคมีในข้าวสารถุง โดยเฉพาะที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตรวจสอบอย่างเข้มงวด ขณะที่บริษัทข้าวสารถุงรายใหญ่ ที่ถูกพาดพิงว่ามีปัญหาข้าวปนเปื้อน จะดำเนินการเอาผิดผู้ให้ข่าว เพราะทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ด้าน พิธีกรชื่อดังรายการคนค้นคนยอมรับเกิดความผิดพลาด พร้อมยินดียอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ข่าวลวงโลก แถบสีด้านล่างหลอดยาสีฟันบอกชนิดสารเคมี





ความลวง

เพิ่งรู้เหมือนกันว่า แถบสีด้านล่างหลังหลอดยาสีฟันนั้นมีความหมาย มีสี่สีด้วยกัน...

เขียว... วัสดุธรรมชาติ 
น้ำเงิน... วัสดุธรรมชาติ และ ยา
แดง... วัสดุธรรมชาติ และ ส่วนผสมเคมีภัณฑ์
ดำ... เคมีภัณฑ์ล้วนๆ

ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกสีเขียวหรือสีน้ำเงิน... 
แต่ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมีแต่สีดำซะด้วย... OMG!

ความจริง

แถบสีเหล่านั้นเป็นเพียง “ตัวระบุตำแหน่ง (Marker)” สำหรับกระบวนการพิมพ์ ที่เรียกว่า “Eye-Mark” หรือ “Eye Spot”

ซึ่งแถบสีที่ว่านี้ มีไว้เพื่อช่วยให้ตัวเซนเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ สามารถจับตำแหน่ง ระบุพิกัดของสิ่งที่จะพิมพ์ได้ ทั้งการพิมพ์ด้านหน้า และด้านหลังได้แม่นยำ อีกทั้งช่วยในกระบวนการหยิบจับของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ให้ได้ตรงตำแหน่งเดิมทุกครั้ง

สีที่จะถูกใช้สกรีนบนปลายหลอดต่างๆเหล่านั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบของเครื่องจักรที่เขาสร้างมา ส่วนใหญ่จะใช้อิงกับสีที่สกรีนบนหน้าหลอดและสีต้องตัดกันกับหลอดเพื่อให้หลอดมีจุดศูนย์กลาง สำหรับในเครื่องจักรรุ่นเก่าๆ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสีดำ

อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์และหลักฐาน เชิงประจักษ์ของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช






นักวิชาการชาวศรีลังกาที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร BMC ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับภาวะโรคไต พบว่าไกลโฟเซสสามารถจับตัวกับโลหะหนักได้ง่าย และเข้าไปสะสมในร่างกายไกลโฟเซสสัมพันธ์กับหลายโรคโดยสามารถยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครม P450 (CYP) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่สำคัญในการกำจัดพิษของสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

ทลฉ. พร้อมให้ความช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบจากสารเคมีรั่ว







วานนี้ (27 พ.ย.นางสุนิดา สกุลรัตนะ กรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รักษาการผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยถึงกรณีสารเคมีรั่วไหลบริเวณท่าเทียบเรือ บี 3 ของบริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ว่า ท่าเรือแหลมฉบังให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่อยู่บริเวณหมู่บ้านชาว ประมง จำนวน 246 ครอบครัว ครอบครัวละ5,000 บาท ส่วนครอบครัวผู้เสียชีวิตให้การช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 10,000 บาท
ทั้งนี้ นาง สุนิดา กล่าวว่า ท่าเรือแหลมฉบังได้วางมาตรการป้องกันตามแผนฉุกเฉินแล้ว คือ การห้ามยานพาหนะทุกชนิด และประชาชนเข้าไปใกล้บริเวณดังกล่าว โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนกระทั่งอยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงานสาธารณสุข ป้องกันจังหวัดชลบุรี ในการวางแผนจำกัดและควบคุม พร้อมทั้งการวัดคุณภาพน้ำและอากาศอย่างใกล้ชิด โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนใกล้เคียงแต่อย่างใด

ข่าว:ไทยกับการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน






จากข้อมูลของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม นับจากปี 2516 – 2555 มีการบันทึกสถิติน้ำมันรั่วไหล จำนวน 225 ครั้ง หากคำนวนปริมาณแล้วพบว่ามีน้ำมันรวมกันอย่างน้อยมากถึง 3,010,316 ลิตรรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำของไทย
โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของสถิติมิได้ระบุปริมาณการรั่วไหล นับว่าตัวเลขที่รวบรวมดังกล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง
แนวคิดของการนำหลักการขจัดไขมันด้วยการนำมาผสมรวมเข้ากับสารเคมีขจัดคราบน้ำมันเพื่อแยกตัวน้ำมัน (เช่นสบู่ ผงซักฟอก) แล้วล้างออกนั้น ได้นำมาใช้ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1960 เพื่อขจัดคราบน้ำมันบนหาดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ 
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการสารเคมีขจัดคราบน้ำมันทั้งในคลอง แม่น้ำ และทะเล บ่อยครั้งที่ใช้วิธีนี้แก้ปัญหา แต่ไม่มีครั้งใดที่สังคมจะตั้งคำถามและสนใจวิธีการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันจนเป็นกระแสเรียกร้องข้อมูลข้อเท็จจริง กระทั่งเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กลางทะเลอ่าวไทย ที่จ.ระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555

การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิก

ความสามารถในการละลายของสาร  คือ  ความสามารถของสารที่ละลายในตัวทำละลายจนอิ่มตัวแต่ความสามารถในการละลายของสารประกอบไอออนิกจะมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและชนิดของสาร  สำหรับการบอกความสามารถในการละลายโดยมากมักจะบอกได้ 
สารประกอบไอออนิกที่ละลายน้ำได้  ได้แก่
1.  สารประกอบของโลหะหมู่ IA
2.  สารประกอบแอมโมเนียม
3.  สารประกอบไนเตรต
4.  สารประกอบคลอเรต
5.  สารประกอบเปอร์คลอเรต
6.  สารประกอบแอซิเตต  (ยกเว้น CH3COOAg)
7.  สารประกอบซัลเฟต  (ยกเว้น  PbSO4,  CaSO4,  SrSO4,  BaSO4)
สารประกอบไอออนิกที่ไม่ละลายน้ำ  ได้แก่
1.  สารประกอบออกไซด์  ซัลไฟด์  และไฮดรอกไซด์ของโลหะ (ยกเว้น  โลหะหมู่ IA และ Ca2+, Sr2+, Ba2+)
2.  สารประกอบคลอไรด์, โบรไมด์  และไอโอไดด์ของ Ag+, Pb2+, Hg22+
3.  สารประกอบคาร์บอเนต, ฟอสเฟต  และซัลไฟต์ของธาตุหมู่ IIA

พันธะไอออนิก

พันธะไอออนิก คือ พันธะที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวก(cation) และไอออนลบ(anion) อันเนื่องมาจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน จากโลหะให้แก่อโลหะ  โดยทั่วไปแล้วพันธะไอออนิกเป็นพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างโลหะและอโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากว่าโลหะมีค่าพลังงานไอออไนเซชัน(ionization energy)ต่ำ แต่อโลหะมีค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน(electron affinity)สูง ดังนั้นโลหะจึงมีแนวโน้มที่จะให้อิเล็กตรอน และอโลหะมีแนวโน้มที่จะรับอิเล็กตรอน
สมบัติ
1. มีขั้ว เพราะสารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลเดี่ยว แต่จะเป็นของแข็งซึ่งประกอบด้วยไอออนจำนวนมาก ซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้า
2. ไม่นำไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาพของแข็ง แต่จะนำไฟฟ้าได้เมื่อใส่สารประกอบไอออนิกลงในน้ำ ไอออนจะแยกออกจากกัน ทำให้สารละลายนำไฟฟ้าในทำนองเดียวกันสารประกอบที่หลอมเหลวจะนำไฟฟ้าได้ด้วยเนื่องจากเมื่อหลอมเหลวไอออนจะเป็นอิสระจากกัน เกิดการไหลเวียนอิเลคตรอนทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่จึงเกิดการนำไฟฟ้า
3 . มีจุหลอมเหลวและจุดเดือดสูง      ความร้อนในการทำลายแรงดึงดูดระหว่างไอออนให้กลายเป็นของเหลวต้องใช้พลังงานสูง
4 . สารประกอบไอออนิกทำให้เกิดปฏิกิริยาไอออนิก คือ ปฏิกิริยาระหว่างไอออนกับไอออน ทั้งนี้เพราะสารไอออนิกจะเป็นไอออนอิสระในสารละลาย ปฏิกิริยาจึงเกิดทันที
5 . สมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิกสารประกอบไอออนิกเกิดจากไอออนที่มีประจุตรงกันข้ามรอบ ๆ ไอออนแต่ละไอออนจะมีสนามไฟฟ้าซึ่งไม่มีทิศทาง จึงทำให้เกิดสมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก
6. เป็นผลึกแข็ง แต่เปราะและแตกง่าย

การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
  • กรณีเป็นสารประกอบธาตุคู่ ให้อ่านชื่อธาตุที่เป็นประจุบวก แล้วตามด้วยธาตุประจุลบ โดยลงท้ายเสียงพยางค์ท้ายเป็น “ ไอด์” (ide) เช่น
  • กรณีเป็นสารประกอบธาตุมากกว่าสองชนิด ให้อ่านชื่อธาตุที่เป็นประจุบวก แล้วตามด้วยกลุ่มธาตุที่เป็นประจุลบได้เลย เช่น
  
  • กรณีเป็นสารประกอบธาตุโลหะทรานซิชัน ให้อ่านชื่อธาตุที่เป็นประจุบวกและจำนวนเลขออกซิเดชันหรือค่าประจุของธาตุเสียก่อน โดยวงเล็บเป็นเลขโรมัน แล้วจึงตามด้วยธาตุประจุลบ 

สารโคเวเลนต์โครงผลึกร่างตาข่าย

. เพชร  (Diamond)
            เพชร  (Diamond)  เป็นรูปหนึ่งของธาตุคาร์บอน มีโครงสร้างเป็นผลึกสามมิติ  คาร์บอน  1  อะตอมมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ  4  จึงสามารถเกิดพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมคาร์บอนข้างเคียงอีก  4  อะตอม  จากการวัดความยาวพันธะระหว่างอะตอมระหว่างอะตอมคาร์บอนกับคาร์บอนเท่ากับ  154 pm  ยาวเท่ากับพันธะเดี่ยวพอดี  เพชรมีลักษณะโครงสร้างเป็นรูปทรงสี่หน้าเชื่อมโยงกันเป็นตาข่าย  3  มิติ  อะตอมของคาร์บอนจึงถูกยึดไว้แน่น  เพชรจึงมีความแข็งมาก  และเนื่องจากคาร์บอนแต่ละอะตอมใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนสร้างพันธะโคเวเลนต์หมด  ไม่มีอิเล็กตรอนอิสระที่จะใช้เคลื่อนที่  ดังนั้นเพชรจึงไม่นำไฟฟ้า
2. แกรไฟต์  (Graphite)
แกร์ไฟต์  (Graphite)  เป็นรูปหนึ่งของธาตุคาร์บอน  มีโครงสร้างเป็นชั้น ๆ ภายในชั้นเดียวกันคาร์บอนแต่ละอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมข้างเคียงอีก  3  อะตอม  จากการวัดความยาวพันธะแต่ละพันธะภายในชั้นเดียวกันของแกร์ไฟต์ยาว  140 pm  และจากข้อมูลทราบว่าพันธะเดี่ยวระหว่างอะตอมคาร์บอนมีความยาว  154  pm  ส่วนพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน มีความยาว  134  pm  ด้วยเหตุนี้พันธะโคเวเลนต์ของอะตอมคาร์บอนในชั้นเดียวกันของแกร์ไฟต์มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างพันธะเดี่ยวกับพันธะคู่  แสดงว่าคาร์บอนในชั้นเดียวกันของแกร์ไฟต์สามารถเกิดเรโซแนนซ์ได้
การที่คาร์บอนแต่ละอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์กับคาร์บอนอะตอมอื่นอีก  3  อะตอมที่อยู่ใกล้เคียงกันภายในชั้นเดียวกัน  ดังนั้นคาร์บอนแต่ละอะตอมจะมีเวเลนต์อิเล็กตรอนเหลืออีก  อิเล็กตรอนไม่อยู่กับที่ เคลื่อนที่ได้อิสระทั่วไปภายในชั้นเดียวกัน  แกร์ไฟต์จึงนำไฟฟ้าได้ดีเฉพาะในทิศทางที่ขนานกับชั้นเท่านั้น
ในผลึกแกร์ไฟต์ระหว่างชั้นของแกร์ไฟต์ยึดกันด้วยแรงแวนเดอร์วาลส์ชั้นของคาร์บอนแต่ละชั้นห่าง  340  pm  ซึ่งเป็นระยะที่ยาวกว่าพันธะระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนในชั้นเดียวกัน  ผลึกแกร์ไฟต์จึงแตกออกจากกันได้ง่าย  สามารถใช้เป็นสารหล่อลื่น และใช้ทำไส้ดินสอได้
3.  ซิลิคอนไดออกไซด์ (SiO2
โครงสร้างของซิลิคอนไดออกไซด์  จะมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างของเพชร  โดยอะตอมซิลิกอนต่อกับอะตอมออกซิเจนข้างเคียงด้วยพันธะเดี่ยว

แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล

1.แรงลอนดอน
-แรงยึดเหนี่ยวเกิดทุกโมเลกุล
-โมเลกุลไม่มีขั้วมีแต่แรงลอนดอนเท่านั้น
2.แรงดึงดูดระหว่างขั้ว
-แรวยึดเหนี่ยสระหว่างโมเลกุลมีขั้ว
3.พันธะไฮโดรเจน
-แรงยึดเหนี่ยวทุกโมเลกุล
-เกิดระหว่างธาตุ H ในโมเลกุลหนั่งกับอีกธาตุหนึ่งที่มีขนาดเล็กค่ส EN สูง ในโมเลกุลหนึ่งได้แก่ F,O,N

สภาพขั้วโมเลกุลโคเวเลนต์

โมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว

-เกิดจากอะตอมที่เป็นพันธะไม่มีขั้ว
-เกิดจากโมเลกุลที่สมมาตร

โมเลกุลโคเวเลนต์มีขั้ว

-เกิดจากอะตอมต่างชนิดกัน
-เกิดจากอะตอมกลางมีคู่โดดเดี่ยวเหลือ

สภาพขั้วโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว

เกิดอะตอมชนิดเดียวกัน→ มีค่า EN เท่ากัน →พันธะไม่มีขั้ว

พันธะโคเวเลนต์มีขั้ว

เกิดจากอะตอมของธาตุคนละชนิด →มีค่า EN ไม่เท่ากัน → ผลต่าง EN มาก →สภาพขั้วแรงมาก

การสลายและสร้างพันธะ

การสลาย[ดูด สลาย. คาย สร้าง]
การทำลายพันธะเดิมโดยการดูดความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบ
การสร้าง
การสร้างพันธะใหม่โดยการคายความร้อนให้กับสิ่งแวดล้อม
วิธีคำนวณ
1 วาดโครงสร้างแบบเส้น
2. พิจารณาจำนวนพันธะอะตอมแต่ละคู่
3 คำนวณพลังงานที่ใช้ในการสลาย

ความยาวพันธะ

1.วาดโครงสร้าง
2.ดูตัวร่วม
พันธะเดี่ยว>พันธะคู่>พันธะสาม

การเรียกชื่อสารโคเวเลนต์

1    =      mono-                   
2    =     di-           
3    =     tri.      
 4     =     tetra-                      
5    =     penta-     
 6=    hexa-
 7 = hepta-
  8     =     octa-                      
 9   =     nona-              
 10     =    deca-

1.  อ่านชื่อธาตุที่อยู่ด้านหน้าก่อนตามด้วยธาตุที่อยู่ด้านหลัง โดยเปลี่ยนเสียงพยางค์ท้ายเป็น -ด์ (ide )
2.  อ่านระบุจำนวนอะตอมของธาตุด้วยเลขจำนวนใน
3.  ถ้าธาตุแรกมีอะตอมเดียว ไม่ต้องอ่านระบุจำนวนอะตอมของธาตุนั้น  แต่ถ้าธาตุหลังมีเพียงหนึ่งอะตอมก็ต้องระบุจำนวนอะตอมด้วยเสมอ

พันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์


*อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะมาจากอะตอมใดอะตอมหนึ่งเท่านั้น[เสถียรแล้วมีคู่เหลือ]

 เป็นพันธะโคเวเลนต์ที่เกิดจากอะตอมของธาตุชนิดหนึ่งให้อะตอมของธาตุอีกชนิดหนึ่งใช้คู่อิเล็กตรอนวงนอกสุดของตัวเองทั้ง 2 ตัว ใช้สัญลักษณ์ในสูตรโครงสร้างแบบเส้นเป็นลูกศร ซึ่งพันธะนี้เรียกชื่ออีกอย่างว่า พันธะเดทีฟ (Dative Bond) ซึ่งพบในสารประกอบหลายชนิด พันธะชนิดนี้ไม่แตกต่างจากพันธะโคเวเลนต์ธรรมดาในทางเคมี

สูตรโครงสร้างของลิวอิส

  • สูตรโครงสร้างส่วนที่เป็นจุด เป็นสูตรโครงสร้างที่ใช้จุดแทนอิเล็กตรอนวงนอกสุดของอะตอมที่เกิดพันธะ โดยให้อิเล็กตรอนครบตามกฎออกเตต ยกเว้นบางธาตุซึ่งมีการยกเว้นได้
  • 1).เขียนสูตรแบบเส้น ต่อจากนั้นเปลี่ยนเส้นพันธะ1เส้นเป็นจุด2สุด
  • สูตรโครงสร้างส่วนที่เป็นเส้น เป็นสูตรโครงสร้างที่ใช้เส้นและจุดแทนอิเล็กตรอนวงนอกสุดของอะตอมที่เกิดพันธะ ซึ่งเส้น 1 เส้นจะแทนอิเล็กตรอน 2 ตัวหรือ 1 คู่ การเขียนสูตรโครงสร้างในลักษณะนี้จะแสดงอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวด้วยหรือไม่ก็ได้
  • โดย 2 จุด จะเท่ากับ 1พันธะ
  • 1).หาอะตอมกลาง
  • 2).วางตำแหน่งอะตอมกลางแล้วเอาอะตอมอื่นล้อมรอบ
  • 3).ใส่แขนของแต่ล้ะอะตอมเท่ากับจำนวนโคเวเลนที่จะเกิด

กฎออกเตต

คือ อะตอมของธาตุต่างๆเมื่อรวมกันในสัดส่วนที่ทำให้แต่ละอะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ8
จากการศึกษาเกี่ยวกับธาตุเฉื่อยเช่น He, Ne, Ar, Kr พบว่าเป็นธาตุที่จัดอยู่ในประเภทโมเลกุลอะตอมเดียวทุกสถานะ
คือใน 1 โมเลกุลของธาตุเฉื่อยจะมีเพียง 1 อะตอมทั้งสถานะของแข็ง ของเหลว และก๊าซในธรรมชาติเกือบจะไม่พบสารประกอบของธาตุเฉื่อยเลย
แสดงว่าธาตุเฉื่อยเป็นธาตุที่เสถียรมาก
ดังนั้นธาตุต่างๆ ที่มีเวเลนต์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 8 จึงพยายามปรับตัวให้มีโครงสร้างแบบธาตุเฉื่อยเช่น
โดยการรวมตัวกันเป็นโมเลกุลหรือใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเพื่อทำให้เวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 8
ส่วนไฮโดรเจนจะพยายามปรับตัวให้มีเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 เหมือนธาตุ He

ครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี

หมายถึง ระยะเวลาที่สารสลายตัวไปจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิมใช้สัญลักษณ์เป็น t1/2นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่ไม่เสถียร จะสลายตัวและแผ่รังสีได้เองตลอดเวลาโดยไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิหรือความดัน อัตราการสลายตัว เป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนอนุภาคในธาตุกัมมันตรังสีนั้น ปริมาณการสลายตัวจะบอกเป็นครึ่งชีวิตเป็นสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทป

โทษของธาตุกัมมันตรังสี

โทษ
เนื่องจากรังสีสามารถทำให้ตัวกลางที่มันเคลื่อนที่ผ่าน เกิดการแตกตัวเป็นไอออนได้ รังสีจึงมีอันตรายต่อมนุษย์ ผลของรังสีต่อมนุษย์สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภทคือ ผลทางพันธุกรรมและความป่วยไข้จากรังสี ผลทางพันธุกรรมจากรังสี

จะมีผลทำให้การสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกายมนุษย์เกิดการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะเซลล์สืบพันธุ์ ส่วนผลที่ทำให้เกิดความป่วยไข้จากรังสี เนื่องจากเมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้รับรังสี โมเลกุลของธาตุต่างๆ ที่ประกอบเป็นเซลล์จะแตกตัว ทำให้เกิดอากาป่วยไข้ได้  

หลักในการป้องกันอันตรายจากรังสีมีดังนี้
  • ใช้เวลาเข้าใกล้บริเวณที่มีกัมมันตภาพรังสีให้น้อยที่สุด
  • พยายามอยู่ให้ห่างจากกัมมันตภาพรังสีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ใช้ตะกั่ว คอนกรีต น้ำ หรือพาราฟิน เป็นเครื่องกำบังบริเวณที่มีการแผ่รังสี


ประโยชน์ของกัมมันตภาพรังสี

ประโยชน์
  1. ด้านธรณีวิทยา  มีการใช้ C-14 คำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ หรืออายุของซากดึกดำบรรพ์ซึ่งหาได้ดังนี้ ในบรรยากาศมี C-14 ซึ่งเกิดจากไนโตรเจน รวมตัวกับนิวตรอนจากรังสีคอสมิกจนเกิดปฏิกิริยา แล้ว C-14 ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แล้วผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช และสัตว์กินพืช คนกินสัตว์และพืช ในขณะที่พืชหรือสัตว์ยังมีชีวิตอยู่ C-14 จะถูกรับเข้าไปและขับออกตลอดเวลา เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง การรับ C-14 ก็จะสิ้นสุดลงและมีการสลายตัวทำให้ปริมาณลดลงเรื่อยๆ ตามครึ่งชีวิตของ C-14 ซึ่งเท่ากับ 5730 ปี

 2. ด้านการแพทย์ ใช้รักษาโรคมะเร็ง ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด กระทำได้โดยการฉายรังสีแกมมาที่ได้จาก โคบอลต์-60 เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ แล้วยังใช้โซเดียม-24 ที่อยู่ในรูปของ NaCl ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด เพื่อตรวจการไหลเวียนของโลหิต โดย โซเดียม-24 จะสลายให้รังสีบีตาซึ่งสามารถตรวจวัดได้ และสามารถบอกได้ว่ามีการตีบตันของเส้นเลือดหรือไม่
  
3. ด้านเกษตรกรรม มีการใช้ธาตุกัมมันตรังสีติดตามระยะเวลาการหมุนเวียนแร่ธาตุในพืช โดยเริ่มต้นจากการดูดซึมที่รากจนกระทั่งถึงการคายออกที่ใบ หรือใช้ศึกษาความต้องการแร่ธาตุของพืช       

  4. ด้านอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมการผลิตแผ่นโลหะ จะใช้ประโยชน์จากกัมมันตภาพรังสีในการควบคุมการรีดแผ่นโลหะ เพื่อให้ได้ความหนาสม่ำเสมอตลอดแผ่น โดยใช้รังสีบีตายิงผ่านแนวตั้งฉากกับแผ่นโลหะที่รีดแล้ว แล้ววัดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านแผ่นโลหะออกมาด้วยเครื่องวัดรังสี ถ้าความหนาของแผ่นโลหะที่รีดแล้วผิดไปจากความหนาที่ตั้งไว้ เครื่องวัดรังสีจะส่งสัญญาณไปควบคุมความหนา โดยสั่งให้มอเตอร์กดหรือผ่อนลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาตามต้องการ


ชนิดและสมบัติของรังสีบางชนิด

รังสีแอลฟา
เป็นนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม มีโปรตอนและนิวตรอนอย่างละ 2 อนุภาค มีประจุไฟฟ้า +2 มีเลขมวล 4 มีอำนาจทะทะลวงต่ำมาก กระดาษเพียงแผ่นเดียวหรือสองแผ่นก็สามารถกั้นได้ ในสนามไฟฟ้ารังสีแอลฟาเบนเข้าหาขั้วลบ สามารถวิ่งผ่านอากาศได้ระยะทางเพียง 3-5 cm เพราะเมื่อรังสีแอลฟาผ่านสาร สามารถทำให้สารเกิดการแตกตัวเป็นไอออนได้ดี จึงทำให้เสียพลังงานอย่างรวดเร็ว    

รังสีบีตา
คือ อนุภาคที่มีสมบัติเหมือนอิเล็กตรอน กล่าวคือ มีประจุไฟฟ้า -1 มีมวลเท่ากับมวลของอิเล็กตรอน มีพลังงานสูง ในสนามไฟฟ้ารังสีบีตาเบนเข้าหาขั้วบวก มีอำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ารังสีแอลฟาประมาณ 100 เท่า สามารถผ่านแผ่นโลหะบางๆ เช่น แผ่นตะกั่วหนา 1 mm แผ่นอะลูมิเนียมหนา 5 mm มีความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง และมีอำนาจในการไอออไนซ์น้อยกว่ารังสีแอลฟา

รังสีแกมมา
คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก ไม่มีประจุและไม่มีมวล ไม่เบียงเบนในสนามไฟฟ้า มีอำนาจทะลุทะลวงสูงสุด สามารถทะลุผ่านแผ่นไม้โลหะและเนื้อเยื่อได้ แต่ถูกกั้นได้โดยคอนกรีตหรือแผ่นตะกั่วหนา โดยสามารถทะลุผ่านแผ่นตะกั่วหนา 8 mm หรือผ่านแผ่นคอนกรีตหนาๆ ได้ มีอำนาจในการไอออไนซ์น้อยมาก  


สมบัติที่สำคัญของธาตุ

1.  ธาตุหมู่ 1A  หรือโลหะอัลคาไล (Alkali Metals)          ธาตุหมู่ 1A  หรือโลหะอัลคาไล  ส่วนใหญ่จะมีสีเงิน  (ยกเว้นธาตุซีเซียม (Cs)  ซึ่งมีสีทองเจือปน)  มีลักษณะเป็นโลหะเนื้ออ่าน  มีความหนาแน่นต่ำ  มีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีสูงมาก  โดยจะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ดีกับธาตุหมู่ 7A  และสามารถเกิดปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำไดดี  การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บไว้ในน้ำมัน  ในสภาพธรรมชาติมักจะพบอยู่ในรูปของสารประกอบ  เช่น  โซเดียมคลอไรด์ (NaCl),  ลิเทียมออกไซด์ (Li2O)  โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)  เป็นต้น  ธาตุหมู่ 1A  จึงมีความเป็นโลหะสูง  ตัวอย่างของธาตุหมู่ 1A  ที่เราควรรู้จักได้แก่ธาตุดังต่อไปนี้
          -  ลิเทียม (Li)  มีสมบัติดูดความร้อนได้ดี  มักใช้ในการถ่ายเทความร้อน  ใช้เป็นขั้วแบตเตอรี่  เนื่องจากมีศักยภาพในการให้อิเล็กตรอนที่ดี
          -  โซเดียม (Na)  เป็นธาตุทำปฏิกิริยาได้ว่องไวมาก  จึงจำเป็นต้องเก็บในน้ำมัน  ในชีวิตประจำวันของเรามีการใช้ประโยชน์จากสารประกอบโซเดียมมากมาย  เช่น  เกลือแกง  หรือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl)  ซึ่งใช้ในการประกอบอาหาร,  ผงฟูหรือโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3)  ซึ่งใช้ในการทำขนมปังให้ฟู  เป็นต้น
2.  ธาตุหมู่ 2A  หรือโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธ  (Alkaline-earth Metals)          ธาตุหมู่ 2A  หรือโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธ  มีลักษณะเป็นโลหะเนื้ออ่อน  แต่มีความแข็งและมีความหนาแน่นมากกว่าธาตุหมู่ 1A  ส่วนใหญ่มีสีเงิน  ทำปฏิกิริยาได้ดีกับกับธาตุหมู่ 7A  และน้ำ  แต่ปฏิกิริยามีความรุนแรงน้อยกว่าธาตุหมู่ 1A  ธาตุหมู่ 2A  จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนอยู่ชั้นนอกสุดเพียง 2 อนุภาค  จึงถูกดึงหรือสูญเสียอิเล็กตรอนไปได้ง่าย  ดังนั้นธาตุหมู่ 2A  จึงมีสมบัติความเป็นโลหะที่ดี  ตัวอย่างของธาตุหมู่
 2A  ที่ควรรู้จัก  ได้แก่
          -  เบริลเลียม (Be)  เป็นโลหะซึ่งมีสีเทาเหมือนเหล็ก  แข็งแรง  น้ำหนักเบา  แต่เปราะ  มักใช้สำหรับเป็นโลหะผสมเพื่อทำให้โลหะแข็งแกร่งขึ้น
          -  แมกนีเซียม (Mg)  เป็นธาตุที่พบได้มากในธรรมชาติ  โดยพบว่าเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกประมาณ 2%  และเป็นธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำทะเลมากเป็นอันดับ 3  นิยมใช้วัตถุดิบในการผลิตโลหะผสมอะลูมิเนียม-แมกนีเซียม
          -  แคลเซียม (Ca)  เป็นโลหะสีเทาอ่อน  มักใช้ในการสกัดธาตุยูเรเนียม (U)  เป็นธาตุที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตอย่างยิ่ง  เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของโครงสร้างร่างกายของสิ่งมีชีวิต  เช่น  กระดูก  และฟัน  เป็นต้น
          -  แบเรียม (Ba)  เป็นธาตุที่มีอยู่น้อยในธรรมชาติ  มีสมบัติคล้ายกับธาตุแคลเซียม  สามารถทำปฏิกิริยากับอากาศได้ดี  ทำให้สามารถพบได้เฉพาะในลักษณะสารประกอบเท่ากัน  มีการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการขุดเจาะน้ำมัน  การทำเหมือนแร่  การถ่ายภาพเอ็กซเรย์ทางการแพทย์  เป็นต้น
          3.  ธาตุหมู่ 7A  หรือธาตุแฮโลเจน (Halogen)          ธาตุหมู่ 7A  หรือธาตุแฮโลเจน  เป็นธาตุที่มีสมบัติเป็นอโลหะ  มีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีสูง  ในสภาพธรรมชาติเรามักจะพบว่าธาตุกลุ่มนี้ในลักษณะเป็นโมเลกุลคู่ซึ่งประกอบด้วย 2 อะตอม  คุณสมบัติอย่างหนึ่งของธาตุหมู่ 7A  คือ  เมื่อรวมตัวกับไฮโดรเจน (H)  จะมีฤทธิ์เป็นกรดรุนแรง  เช่น  กรดไฮโดรคลอริก (HCl),  กรดไฮโดรฟลูออริก (HF)  เป็นต้น  ธาตุหมู่ 7A  จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนจากธาตุอื่น ๆ ได้ดี  จึงมีสมบัติความเป็นอโลหะสูง  ตัวอย่างของธาตุหมู่ 7A  ที่ควรรู้จักได้แก่
          -  ฟลูออรีน (F)  มีสถานะเป็นแก๊ส  มีสีเหลืองอ่อนและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต  โดยฟลูออรีนที่บริสุทธิ์จะมีอันตรายเป็นอย่างมากสามารถทำให้เกิดรอยไหม้บนผิวหนังได้  โดยทั่วไปจะใช้ประโยชน์ในรูปของสารประกอบฟลูออรีน  เช่น  โซเดียมฟลูออไรด์ (NaF)  ซึ่งหากใช้ในปริมาณเล็กน้อยเติมลงในยาสีฟันจะช่วยป้องกันฟันผุได้
          -  คลอรีน (Cl)  มีสถานะเป็นแก๊ส  มีสีเขียมอมเหลือง  มีน้ำหนักมากกว่าอากาศ  มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง  และเป็นพิษอย่างร้ายแรง  มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคได้ดี  จึงนิยมใช้เติมลงในน้ำหรือในสระน้ำ  เพื่อทำให้น้ำสะอาด  คลอรีนจะพบได้มากในรูปของเกลือทะเลและสารประกอบอื่น ๆ  เช่น  เกลือแกง (NaCl)  หรือโซเดียมคลอไรด์  เป็นต้น
          -  โบรมีน (Br)  เป็นธาตุเพียงชนิดเดียวในกลุ่มธาตุหมู 7A  ที่มีสถานะเป็นของเหลว  มีสีแดง  สามารถระเหยได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง  เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของมนุษย์  เนื่องจากไอระเหยสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาและผิวหนังที่บอบบางได้
          -  ไอโอดีน (I)  มีสถานะเป็นของแข็ง  ไม่ละลายน้ำ  มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต  เนื่องจากเป็นธาตุที่เป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญบางชนิด  นอกจากนี้ไอโอดีนยังมีประโยชน์ในการผลิตยาฆ่าเชื้อ  และสีย้อมผ้า